การแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน “คิงส์คัพ” ครั้งที่ 50 จะจัดที่สนามติณสูลานนท์ จ.สงขลา วันที่ 11 และ 14 ต.ค. 67 โดยมี 4 ทีมคือ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย อันดับ 100 ของโลก, ซีเรีย อันดับ 92 ของโลก, ทาจิกิสถาน อันดับ 103 ของโลก และฟิลิปปินส์ อันดับ 148 ของโลก
โปรแกรมการแข่งขันนัดแรก วันที่ 11 ต.ค. 67 เวลา 16.30 น. ซีเรีย พบ ทาจิกิสถาน, เวลา 20.00 น. ทีมชาติไทย พบ ฟิลิปปินส์ จากนั้นวันที่ 14 ต.ค. 67 จะเป็นรอบชิงอันดับ 3 และรอบชิงชนะเลิศ ในเวลาเดียวกัน
มาซาทาดะ อิชิอิ หัวหน้าโค้ชทีมชาติไทย ประกาศรายชื่อ 23 นักเตะออกมาแล้ว เมื่อวันที่ 2 ต.ค. 67 นำทัพโดย “เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์, ศุภชัย ใจเด็ด, ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา, นิโคลัส มิคเกลสัน, เอกนิษฐ์ ปัญญา, โจนาธาร เข็มดี รวมทั้ง วิลเลี่ยม เวเดอร์เฌอ ขณะที่ อภิสิทธิ์ โสรฎา ติดทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรก โดยให้รายงานตัววันที่ 7 ต.ค. ก่อนเดินทางไป จ.สงขลา
ทั้งนี้ สำหรับทีมชาติไทย ได้แชมป์คิงส์คัพครั้งสุดท้าย ในการจัดครั้งที่ 45 เมื่อปี 2560 ที่ราชมังคลากีฬาสถาน โดยรอบชิงชนะเลิศชนะจุดโทษ เบลารุส 5-4 (เสมอในเวลา 0-0) จากนั้นในการจัด 4 ครั้ง ยังไม่ได้แชมป์อีก และประวัติศาสตร์ฟุตบอลคิงส์คัพ ที่ไปแข่งขันต่างจังหวัด ทีมไทยก็ยังไม่เคยได้แชมป์เลย
มาซาทาดะ อิชิอิ กล่าวว่า ฟุตบอลรายการนี้ ถือว่าเป็นถ้วยของไทย ดังนั้นแน่นอนว่าเป้าหมายคือต้องชนะทั้ง 2 เกม เพื่อคว้าแชมป์ให้ได้ ทั้งนี้ต้องโฟกัสที่คู่แข่งด่านแรกก่อน คือ ฟิลิปปินส์ แม้อันดับโลกต่ำกว่าไทยแต่ก็ประมาทไม่ได้ เพราะทัวร์นาเมนต์นี้มีแค่ 2 เกม ถ้าไม่ชนะเกมแรก ก็ไม่สามารถต่อยอดไปเกมที่ 2 ได้ ซึ่งข้อมูลกับฟิลิปปินส์นั้น จากที่มีอยู่แล้ว แต่จากนี้จะต้องวิเคราะห์ลงรายละเอียด จุดแข็ง จุดอ่อน เพื่อเตรียมพร้อม เพราะถือเป็นเกมที่สำคัญมาก ส่วนซีเรีย กับ ทาจิกิสถาน นั้น แม้จะมีข้อมูลเบื้องต้น ก็จะต้องมาดูตอนเกมที่แข่งวันแรกเพื่ออัปเดต และลงในรายละเอียด
สำหรับ อิชิอิ นั้น ในคิงส์คัพ ครั้งล่าสุด ที่ จ.เชียงใหม่ เขาเดินทางไปในฐานประธานเทคนิคทีมชาติไทยด้วย ซึ่งกุนซือซามูไรกล่าวว่า จากที่เคยสัมผัสกับฟุตบอลคิงส์คัพ นับเป็นบรรยากาศที่ดีอย่างมาก ที่ทีมไทยลงเล่นท่ามกลางแฟนบอลจำนวนมาก ทำให้นักเตะฮึกเหิมในการเล่น มีพละกำลังมากขึ้น
อิชิอิ กล่าวด้วยว่า สำหรับโปรแกรมของไทย ต่อเนื่องฟีฟ่าเดย์ เดือน ก.ย.ที่ไปเยือนเวียดนาม, ต.ค. ในคิงส์คัพ และ เดือน พ.ย. นั้น ตนเองต้องการดูว่า นักเตะที่เรียกมาจำนวนมากนั้น จะสามารถทำความเข้าใจกับแทคติกของทีมชาติไทยได้ขนาดไหน ซึ่งตนเองจะถ่ายทอดแทคติก ระบบต่างๆ ให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ ก็ต้องดูว่านักเตะคนใดทำได้ตามที่ถ่ายทอดไปมากที่สุด ก่อนที่จะมีศึกอาเซียนคัพ ปลายปี ต่อเนื่องถึง เอเชียนคัพ รอบคัดเลือก ในปีหน้า.